หัวใจแห่งปัญญาพระสูตร
หัวใจแห่งปัญญาพระสูตร
พระสูตรนี้เป็นหนึ่งในพระสูตรที่สั้นที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุด ระบุว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดว่างเปล่าจากการดำรงอยู่โดยธรรมชาติ แต่ยังดำรงอยู่โดยขึ้นกับมัน นำเสนอทัศนะทางพุทธศาสนาทั้งธรรมชาติขั้นสูงสุดและตามแบบแผน การได้รับความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพระสูตรนี้ต้องใช้เวลา ศึกษาอย่างทุ่มเท และการทำสมาธิ
ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราชคฤหะ ณ ขุนเขาอีแร้ง ด้วยวิธีเดียว คือ ภิกษุสามเณร และพระโพธิสัตว์จำนวนมาก สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสถิตอยู่ในพระปรินิพพานของโศลกนับไม่ถ้วน ปรากฏการณ์ เรียกว่า แสงสว่างอันล้ำลึก
สมัยนั้น พระอวโลกิเตศวรที่เหนือกว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตบุรุษได้มองดูการบำเพ็ญเพียรแห่งปัญญาบริบูรณ์อย่างสมบูรณ์ พิจารณาความว่างแห่งการมีอยู่โดยกำเนิดของขันธ์ทั้งห้าอย่างบริบูรณ์ด้วย
จากนั้นด้วยอำนาจของ Buddhaท่านพระสารีบุตรได้กล่าวแก่พระอวโลกิเตศวรว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตบุรุษ “บุตรแห่งวงศ์วานผู้ประสงค์จะบำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร”
พระองค์จึงตรัสว่า พระอวโลกิเตศวรอันสูงส่ง พระโพธิสัตว์ท้าวพระสารีบุตรตอบดังนี้ว่า
“สารีบุตร บุตรธิดาคนใดในวงศ์วานปรารถนาจะปฏิบัติวิปัสสนาญาณบริบูรณ์ พึงมีลักษณะอย่างนี้ ย่อมดูบริบูรณ์ในความว่างของขันธ์ ๕ อย่างบริบูรณ์ด้วย”
“แบบฟอร์มว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูปแบบ ความว่างไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากรูป รูปร่างก็ไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากความว่าง ในทำนองเดียวกัน ความรู้สึก การเลือกปฏิบัติ ปัจจัยประกอบและจิตสำนึกก็ว่างเปล่าเช่นกัน”
“สารีบุตร อย่างนี้แล ปรากฏการณ์ เป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีคุณลักษณะ พวกเขาไม่ได้ผลิตและไม่หยุด พวกเขาไม่มีมลทินและไม่มีการแยกออกจากกิเลส ไม่มีการลดลงและไม่มีการเพิ่มขึ้น”
“ฉะนั้น สารีบุตร ในความว่างไม่มีรูป ไม่มีความรู้สึก ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีปัจจัยประกอบ ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มี ร่างกาย, ไม่มีความคิด; ไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีสัมผัส ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีองค์ประกอบของตา เป็นต้น จนถึงไม่มีองค์ประกอบของจิตใจ และก็ไม่มีองค์ประกอบของจิตสำนึกด้วย ไม่มีอวิชชา และไม่มีความอ่อนล้าของอวิชชา เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนไม่มีชราและมรณะ และไม่มีความอ่อนล้าของชราและมรณะ ก็ไม่มีทุกข์ กำเนิด ความดับ หรือมรรคก็เช่นเดียวกัน ไม่มีปัญญาอันสูงส่ง ไม่มีการบรรลุ และการไม่บรรลุ”
“ฉะนั้นพระชารีบุตร เพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิ พระโพธิสัตว์จึงอาศัยและดำรงอยู่ในความบริบูรณ์แห่งปัญญา จิตใจของพวกเขาไม่มีสิ่งกีดขวางและไม่มีความกลัว ผ่านพ้นความวิปริตไปเสียแล้ว ย่อมบรรลุถึงขั้นสุดวิสัยที่พ้นทุกข์ อีกทั้งพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ใน ๓ กาล อาศัยความบริบูรณ์แห่งปัญญา ย่อมเป็นพระพุทธเจ้าที่ประจักษ์และบริบูรณ์ในสภาพแห่งนิพพานที่ไม่มีใครเทียบได้ บริบูรณ์ และบริบูรณ์”
“ดังนั้น มนต์ แห่งปัญญาอันบริบูรณ์ มนต์ ความรู้อันเลิศล้ำเลิศล้ำเลิศล้ำเลิศ มนต์, เท่ากับ-ไม่เท่ากัน มนต์ที่ มนต์ ที่ดับทุกข์อย่างทั่วถึง เพราะไม่เท็จ จึงควรเรียกว่าสัจธรรม ดิ มนต์ ประกาศความบริบูรณ์แห่งปัญญาว่า
ตยาตะ เกท เกท พาราเกต ปรสัมเกท โพธิโสห1
“ชารีบุตร อะ พระโพธิสัตว์ภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ควรฝึกปัญญาอันบริบูรณ์อย่างนี้”
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงลุกขึ้นจากสมาธินั้น แล้วตรัสกับพระอวโลกิเตศวรว่า พระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว “ดี ดี โอ้ บุตรแห่งวงศ์วาน มันเป็นแบบนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ ดังที่พระองค์ได้ทรงเผยพระวจนะแล้ว ก็ควรบำเพ็ญเพียรแห่งปัญญาอันสมบูรณ์โดยวิธีนั้น ตถาคตย่อมเปรมปรีดิ์ด้วย”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตร พระอวโลกิเตศวรขั้นสูง พระโพธิสัตว์พระผู้มีพระภาคและหมู่สาวกทั้งมวลนั้น รวมทั้งสัตว์ทางโลก ทั้งเทวดา มนุษย์ กึ่งเทพ และวิญญาณ ต่างยินดีและสรรเสริญอย่างสูงที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้
หัวใจแห่งปัญญาพระสูตร บทสวด
- บันทึกโดย วัดสราวัสดิ สังฆะ ในเดือนเมษายน 2010
บทสวดหัวใจ (ดาวน์โหลด)
ไปแล้ว ไปแล้ว ไปให้สุด เกินเลย ตื่นมา ให้มันได้อย่างนี้สิ! ↩